ปราบแก๊งสแกมเมอร์ตัดท่อน้ำเลี้ยงสงคราม ใช้ Data Bureau ยึดทรัพย์ และใช้กลยุทธ์โลกล้อมกัมพูชาเพื่อให้ความสัมพันธ์ที่ดีกับไทยคือทางเลือกเดียวที่คุ้มค่า

สถานการณ์ความขัดแย้งและความมั่นคงระหว่างไทยและกัมพูชามีปัจจัยที่ซับซ้อนเกินกว่าการตอบโต้ทางการทหารเพียงอย่างเดียว ดังนี้
ภัยคุกคามลูกผสม (Hybrid Warfare): ความขัดแย้งในปัจจุบันเป็นการผสานกันระหว่างการทหาร การเงิน อาชญากรรมข้ามชาติ และสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Operations) ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของประชาชนในวงกว้าง
เครือข่ายสแกมเมอร์ในฐานะท่อน้ำเลี้ยง: เงินจากอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ถูกนำไปใช้จัดหาอาวุธ ซื้ออิทธิพล และดำเนินปฏิบัติการทางการเมืองที่เป็นปรปักษ์ต่อประเทศไทย การคงอยู่ของธุรกิจสีเทาเหล่านี้จึงเป็นตัวเร่งความรุนแรง
ต้นทุนของการทำสงครามกับไทยในปัจจุบัน “ยังไม่แพงพอ”: ตราบใดที่กัมพูชายังสามารถยั่วยุ ใช้กำลัง และสามารถปล่อยให้อาชญากรรมข้ามชาติดำเนินการได้โดยไม่ต้องรับผลกระทบทางการเงิน กฎหมาย และการเมืองระหว่างประเทศ แรงจูงใจในการยุติความขัดแย้งจะไม่มีวันเกิดขึ้น
ความอ่อนไหวต่ออธิปไตย: รัฐบาลจำเป็นต้องมีนโยบายที่ยืนยันการปกป้องดินแดนอย่างเด็ดขาด โดยไม่ปล่อยให้การปะทะกลายเป็นสงครามยืดเยื้อที่ทำลายเศรษฐกิจชายแดน
ประเทศไทยต้องถือธงนำในเวทีระหว่างประเทศ จาก “ผู้ถูกกดดันให้หยุดยิง” ไปสู่ “ผู้นำการจัดการอาชญากรรมข้ามชาติและเสถียรภาพภูมิภาค”
พรรคประชาชนเสนอยุทธศาสตร์แบบองค์รวมเพื่อบรรลุเป้าหมายหลัก 3 ประการ:
ทำให้การทำสงครามกับไทยไม่คุ้ม: เพิ่มต้นทุนทั้งทางทหาร การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อให้การยั่วยุทุกครั้งต้องแลกกับผลเสียที่จับต้องได้
ทำให้การคงไว้ซึ่งสแกมเมอร์และอาชญากรรมข้ามชาติไม่คุ้ม: ตัดเส้นทางเงินผิดกฎหมาย อายัดและยึดทรัพย์สิน และดำเนินคดีกับผู้สั่งการและผู้คุ้มครองขบวนการสแกมเมอร์อย่างถึงที่สุด
ทำให้การเป็นมิตรต่อประเทศไทย คือทางเลือกที่ดีที่สุด: เมื่อเงินสีเทาที่เป็นแหล่งรายได้หลักของกัมพูชาถูกทำลาย การมีความสัมพันธ์ที่ปรกติกับไทยจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ยุทธศาสตร์นี้จะยึดหลัก 3A
Allies: สร้างแนวร่วมประเทศพันธมิตรที่ได้ประโยชน์
Assurance: เสริมสร้างความพร้อมด้านความมั่นคง
Accountability: ทำให้การละเมิดกฎหมายและการหนุนอาชญากรรม มีราคาที่ต้องจ่าย
โดยขับเคลื่อนผ่าน 3 แนวรบได้แก่
แนวรบที่ 1: ชายแดนและความมั่นคง (Security & Deterrence)
รักษาขีดความสามารถป้องกันประเทศเพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน รวมทั้งการมีกลไกต่างๆเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัว
ใช้ คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกหลักแก้ปัญหาเขตแดน
แนวรบที่ 2: Hybrid Warfare และการปราบสแกมเมอร์
สร้างกลไกทำงานแบบบูรณาการด้านภัยคุกคามลูกผสม (ความมั่นคง–ตำรวจ–การเงิน–ไซเบอร์–การต่างประเทศ)
ติดตามและตัดเส้นทางเงินที่มาจากการหลอกลวงประชาชน ด้วยการใช้ฐานข้อมูล Data Bureau สร้างลายแทง สืบต้นตอ จัดการถอนรากถอนโคน
อายัดและยึดเงินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ปิดช่องทางฟอกเงิน
ดำเนินคดีกับตัวการใหญ่ และช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์อย่างเป็นระบบ
แนวรบที่ 3 : กลยุทธ์ “โลกล้อมกัมพูชา”
สร้างแนวร่วมระดับภูมิภาคเพื่อแก้ไขปัญหาแก๊งสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์
เจรจากับประเทศที่อาจขายอาวุธให้กัมพูชา เพื่อชะลอหรือจำกัดการส่งอาวุธที่ทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น
รวบรวมหลักฐานอย่างเป็นระบบ และใช้กลไกระหว่างประเทศ เช่น ศาลอาญาระหว่างประเทศ เป็นเครื่องมือกดดันอย่างรอบคอบ