ดันไทยเป็นผู้นำสันติภาพเมียนมา ปราบมาเฟียชายแดน ตัดท่อน้ำเลี้ยงสงคราม ใช้เทคโนโลยีคุมส่วย เพื่อความมั่นคงและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

วิกฤตในประเทศเมียนมาส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ดังนี้
ภัยคุกคามข้ามชาติและเศรษฐกิจสีเทา: พื้นที่ชายแดนถูกครอบงำด้วยระบบ "เงินเร็ว–โตเร็ว" ที่เชื่อมโยงกับการฟอกเงิน อาชญากรรมไซเบอร์ สแกมเมอร์ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของพลเมืองไทยโดยตรง
ปัญหาคอร์รัปชันตามแนวชายแดน: การทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนกลายเป็น "คอขวด" ที่เอื้อให้ไทยกลายเป็นทางผ่านและโครงสร้างสนับสนุนเครือข่ายอาชญากรรม
วิกฤตด้านมนุษยธรรม: การสู้รบที่ยืดเยื้อสร้างภาระมนุษยธรรมในการดูแลผู้ลี้ภัยและผลักดันให้กลุ่มเปราะบางเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจผิดกฎหมายและความรุนแรงมากขึ้น
ตัดวงจรอาชญากรรมและคอร์รัปชัน: ด้วยการยกระดับการบังคับใช้กฎหมายตามแนวชายแดนให้โปร่งใส เพื่อปกป้องความมั่นคงของไทย
สนับสนุนประชาธิปไตยในเมียนมา: โดยยืนยันว่าอนาคตเมียนมาต้องตัดสินโดย “คนเมียนมา” โดยประเทศไทยพร้อมเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการสร้างสันติภาพในเมียนมา เปิดให้มีเวทีการพูดคุยเพื่อสร้างอนาคตใหม่ของเมียนมา ทั้งนี้บนจุดยืนที่จะสนับสนุนให้เมียนมากลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยและไม่ใช้ความรุนแรงในการทำร้ายพลเรือน
มาตรการตัดท่อน้ำเลี้ยงสงคราม: โดยทำให้ไทย “ไม่เป็นช่องทาง” ของเงิน อาวุธ วัสดุหรือบริการที่เอื้อการทำสงคราม และเครือข่ายฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิร้ายแรง
หนุนกลไกอาเซียน: สนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน (5-Point Consensus) โดยเฉพาะการหยุดยิงและกระจายความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม โดยให้ไทยเป็นจุดศูนย์กลางในการบริหารจัดการ
การขับเคลื่อนนโยบายจะทำผ่าน 6 กลไกเชิงยุทธศาสตร์ ดังนี้:
1. จัดตั้งสำนักงานผู้แทนพิเศษด้านเมียนมา
จัดตั้ง สำนักงานผู้แทนพิเศษด้านเมียนมา เพื่อให้มีการกำหนดนโยบายในรูปแบบ "ศูนย์รวมอำนาจการตัดสินใจเดียว" (Single Command) โดยทำงานร่วมกับ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และศูนย์สั่งการชายแดนในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การตอบสนองต่อสถานการณ์มีความต่อเนื่องและไม่ยึดติดกับตัวบุคคล
2. ใช้องค์ความรู้และเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านชนกลุ่มน้อยอย่างเป็นระบบ
พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือและข่าวกรองกับกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ ภายใต้กรอบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
3. วางตำแหน่งไทยใหม่ในการเจรจาและถ่วงดุลมหาอำนาจ
ใช้ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และยุทธศาสตร์แร่หายาก (Rare Earths) เป็นเครื่องมือเพิ่มอำนาจต่อรองกับมหาอำนาจ ควบคู่กับการใช้เศรษฐกิจชายแดนและระบบโลจิสติกส์ เพื่อให้ไทยกลับมาเป็นผู้เล่นหลักในเวทีระหว่างประเทศและไม่ตกเป็นเพียงผู้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
4. ทำงานกับทุกฝ่าย แบบ Myanmar-led และไม่เลือกข้าง
ยึดหลัก “ประเทศเมียนมานำโดยคนเมียนมา” (Myanmar-led) โดยไม่เลือกข้างทางการเมือง โดยเน้นความร่วมมือกับทุกฝ่ายเฉพาะในมิติมนุษยธรรม การคุ้มครองพลเรือน และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง ภายใต้หลักการที่จะไม่ยอมให้ประเทศไทยถูกใช้เป็นฐานกำลังในการต่อสู้ หรือเป็นช่องทางสนับสนุนการฟอกเงินและการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ พร้อมทั้งผลักดันการหยุดยิงและเปิดช่องทางความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอย่างปลอดภัยตามกรอบของ อาเซียน และ องค์การสหประชาชาติ เพื่อตัดวงจรความยากจนที่ผลักดันพลเรือนเข้าสู่เศรษฐกิจผิดกฎหมาย
5. การปฏิรูปธรรมาภิบาลชายแดนและเทคโนโลยี
ปราบปรามส่วยชายแดน: ลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เอื้อประโยชน์ธุรกิจสีเทาอย่างเด็ดขาด ทั้งทางวินัยและอาญา พร้อมระบบยึดทรัพย์
นวัตกรรมตรวจสอบ: นำเทคโนโลยีเครื่องสแกน, ภาพถ่ายดาวเทียม และโดรน มาใช้สกัดกั้นการลักลอบขนส่งสิ่งผิดกฎหมาย
ระบบร้องเรียนปลอดภัย: จัดตั้งระบบรับเรื่องร้องเรียนที่คุ้มครองผู้ให้ข้อมูลและมาตรการหมุนเวียนตัวบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อการคอร์รัปชัน
6. ใช้บทบาทอาเซียนอย่างสมจริง แต่ไม่ยึดติด
ทำงานร่วมกับอาเซียนในสิ่งที่ทำได้จริง โดยไทยต้องเป็นแกนนำในการริเริ่ม เนื่องจากเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากที่สุด และพร้อมดำเนินนโยบายทวิภาคีเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทยทันทีเมื่อจำเป็น