แก้ พ.ร.บ.ชุมนุมให้เป็นสากล ลดพื้นที่ห้ามส่งเสียง เลิกโทษอาญา คุมเข้มการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ และห้ามสอดแนม เพื่อคุ้มครองเสรีภาพประชาชนในสังคมประชาธิปไตย

เสรีภาพในการชุมนุมคือหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่เป็นช่องทางให้ประชาชนได้แสดงออกและตรวจสอบอำนาจรัฐ แม้เสรีภาพในการชุมนุมจะได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ 2560 แต่สถานการณ์จริงกลับเผชิญอุปสรรคสำคัญดังนี้:
การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจำกัดสิทธิ: พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในประเทศและเวทีโลก ว่าถูกนำมาใช้เพื่อจำกัดการแสดงออกมากกว่าการส่งเสริม โดยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น นิยามผู้จัดการชุมนุมที่ไม่ชัดเจน และขั้นตอนการแจ้งที่ยุ่งยาก
ขัดต่อหลักการสากล: การกำหนดพื้นที่ห้ามชุมนุมโดยสิ้นเชิง ทำให้ประชาชนไม่สามารถส่งเสียงให้ถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจได้ ซึ่งขัดต่อหลักการที่ว่าการชุมนุมต้องอยู่ในระยะที่ผู้รับสารสามารถ "มองเห็นและได้ยิน" (Sight and Sound)
การใช้กำลังที่ไม่สัดส่วน: ปัญหาความโปร่งใสและหลักความรับผิดรับชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในการสลายการชุมนุม ตลอดจนการใช้โทษทางอาญาที่รุนแรงเกินกว่าเหตุเพื่อข่มขู่ผู้ใช้สิทธิ
พรรคประชาชนจะผลักดันการแก้ไข พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยมีเป้าหมายหลักคือ:
ยึดโยงกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล: ปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตาม กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี
สร้างสมดุลเชิงสร้างสรรค์: ประกันสิทธิการชุมนุมโดยสงบคู่ไปกับการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ผ่านกลไกการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน เพื่อลดการเผชิญหน้าและสร้างพื้นที่ปลอดภัย
พรรคประชาชนเสนอแนวทางการแก้ไข พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ใน 9 ประเด็นสำคัญ ดังนี้:
นิยามผู้จัดการชุมนุม: ปรับนิยาม “ผู้จัดการชุมนุม” ให้แคบลงและรัดกุมขึ้น เพื่อจำกัดความรับผิดทางกฎหมายเฉพาะผู้มีบทบาทในการดูแลการชุมนุมเท่านั้น
การแจ้งชุมนุม: ยกเว้นการแจ้งสำหรับการชุมนุมขนาดเล็กและการชุมนุมโดยพลัน เปิดช่องให้สามารถแจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบกลางได้ พร้อมยกเลิกการใช้กฎหมายอื่นที่ทับซ้อน ยุ่งยากเกินจำเป็น
พื้นที่ห้ามชุมนุม: ลดรัศมีห้ามชุมนุมตามมาตรา 7 และเปลี่ยนจากการห้ามโดยสิ้นเชิงเป็นการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการประกาศจำกัดพื้นที่ด้วยเหตุผลที่ชัดเจน เพิ่มสิทธิให้ผู้ชุมนุมโต้แย้งคำสั่งต่อศาลปกครองได้
การดูแลการชุมนุมและการใช้กำลัง: จำกัดการใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชนที่ไม่เหมาะสม กำหนดให้การใช้กำลังเป็นไปตามหลักชอบด้วยกฎหมาย ความจำเป็นและได้สัดส่วนอย่างเคร่งครัด กำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องผ่านการอบรมและทำรายงานการใช้กำลังเพื่อเปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อความโปร่งใส
การตรวจสอบและถ่วงดุล: เพิ่มบทบัญญัติรับรองเสรีภาพในการชุมนุมและบทบัญญัติรับรองหลักการทดสอบสามขั้น (The Three-Prong Test) อันได้แก่ มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจ มีจุดประสงค์โดยชอบด้วยกฎหมาย มีความจำเป็นในสังคมประชาธิปไตย ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเมื่อมีการใช้อำนาจรัฐแทรกแซงเสรีภาพในการชุมนุม
บทกำหนดโทษ: เปลี่ยนจากโทษทางอาญาให้เป็นโทษปรับทางพินัย เพื่อให้เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน แต่ยังคงโทษอาญาเฉพาะกรณีที่จำเป็น ร้ายแรง และเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น
การคุ้มครองเด็ก: เพิ่มบทบัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิเด็กในพื้นที่ชุมนุมตามหลักการประโยชน์สูงสุดของเด็ก และกำหนดให้เจ้าพนักงานต้องผ่านการฝึกอบรมการคุ้มครองสิทธิเด็ก
การบังคับใช้กฎหมายพิเศษ: ยกเลิกข้อยกเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึก เพื่อให้ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ เป็นกรอบกฎหมายหลักในการคุ้มครองเสรีภาพ เว้นแต่มีข้อกำหนดห้ามโดยชอบด้วยกฎหมายพิเศษนั้นๆ
การคุ้มครองความเป็นส่วนตัวจากการสอดแนมทางเทคโนโลยี: เพิ่มบทบัญญัติรับรองสิทธิความเป็นส่วนตัวและห้ามสอดแนมหรือคุกคามผู้ชุมนุม เว้นแต่มีวัตถุประสงค์โดยชอบด้วยกฎหมายและจำเป็นต่อสังคมประชาธิปไตย