กอบกู้ภาพลักษณ์ตลาดหุ้นไทยที่ผลตอบแทนแย่ติดอันดับโลกและเผชิญปัญหาการทุจริตต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบที่มีธรรมาภิบาล เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติให้กลับคืนมา

• ตลาดทุนถดถอยและขาดประสิทธิภาพ: ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ลดลงถึง 15.24% ในช่วง 5 ปีล่าสุด และถือเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพแย่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งสวนทางกับตลาดโลกที่ฟื้นตัวหลังยุค COVID-19
• วิกฤตความเชื่อมั่นจากการฉ้อโกง: ปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในความยุติธรรมของตลาดทุนไทย และหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้นต่างประเทศ หรือสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets)
• ยกระดับศักยภาพการแข่งขันในภูมิภาค: ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) มีผลตอบแทนที่ต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาคในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และอันดับธรรมาภิบาลในรายงาน CG Watch ของไทยลดลงเนื่องจากการแทรกแทงจากอำนาจการเมืองที่บดบังการปฏิรูปธรรมาภิบาล
• การบังคับใช้กฎหมายที่ล่าช้า: การตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำผิดในอดีตมักมีความล่าช้า ทำให้ผู้กระทำผิดมีโอกาสหลบหนีหรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ซึ่งซ้ำเติมความเสียหายให้แก่ตลาดทุน
• เกิดการทำรายการระหว่างกัน (Related Party Transactions - RPTs) ที่ไม่เป็นธรรมกับนักลงทุนรายย่อย เช่น กรณี CPAXT, CV แต่ไม่สามารถเอาผิดใครได้
พรรคประชาชนเสนอการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในเชิงโครงสร้างผ่าน 2 แกนหลัก:
1. เสริมสร้างความเป็นอิสระของ ก.ล.ต. ในการกำกับดูแล: ปรับปรุงโครงสร้างธรรมาภิบาล ของ ก.ล.ต. ตั้งแต่คณะกรรมการ และผู้บริหาร สำนักงาน ให้เป็นอิสระจากการแทรกแซงทางการเมือง เพื่อให้ทำงานโปร่งใส รวดเร็ว และลงโทษผู้กระทำผิดคดีฉ้อโกงได้อย่างเด็ดขาด
2. ยกระดับ ต.ล.ท. สู่มาตรฐานสากล: ปรับปรุง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Stock Exchange of Thailand - SET) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติและสร้างมาตรฐานที่ดีแก่นักลงทุนในไทย
3. แก้ไขปัญหาการบังคับใช้กฎหมายที่ล่าช้า: การตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำผิดในคดีตลาดทุนมักมีความล่าช้า ทำให้ผู้กระทำผิดมีโอกาสหลบหนีหรือยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ซึ่งซ้ำเติมความเสียหายบ่อนทำลายความเชื่อมมั่นต่อตลาดทุน
4. ปรับปรุงกระบวนการสรรหากรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งปรับปรุง บทบาทหน้าที่ของกรรมการอิสระ และกรรมการตรวจสอบ
1. ปฏิรูปโครงสร้าง สำนักงาน ก.ล.ต. (SEC)
• คณะทำงานเฉพาะกิจสืบสวนคดีฉ้อโกงย้อนหลัง: ตั้งคณะทำงานอิสระตรวจสอบคดีสำคัญในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีการแถลงความคืบหน้าต่อสาธารณะ เพื่อพิสูจน์ว่าคดีในอดีตจะไม่ถูกปล่อยผ่าน
• บูรณาการการทำคดี: เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง ก.ล.ต., ปปง., DSI, บก.ปอศ. และอัยการ เพื่อลดความซ้ำซ้อนของสำนวนคดี เพิ่มความแข็งแรงในชั้นศาล และลดระยะเวลาดำเนินคดีภาพรวม
• ระบบผู้แจ้งเบาะแสการทุจริต (Whistleblower): ให้รางวัลจูงใจเป็นส่วนแบ่งจากค่าปรับและมีกฎหมายคุ้มครองผู้ที่แจ้งความผิดปกติจากภายในองค์กร
• จัดตั้งศูนย์คุ้มครองผู้ลงทุน: เป็นหน่วยงานอิสระที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนผู้ลงทุนในการ ฟ้องร้องแบบกลุ่ม (Class Action) เพื่อลดภาระส่วนบุคคล เช่นเดียวกับโมเดล SFIPC ในไต้หวัน
• ยกระดับความรับผิดชอบผู้บริหาร: เพิ่มโทษต่อตัวบุคคล (CEO และ CFO) หากพบการจัดทำบัญชีเท็จหรือข้อมูลการเงินผิดพลาด ตามมาตรฐานกฎหมาย Sarbanes-Oxley Act (SOX) ของสหรัฐอเมริกา
2. ปรับการทำงาน ต.ล.ท. (SET) ให้ได้มาตรฐานสากล
• ปรับเกณฑ์การซื้อขายให้เป็นสากล: เช่น ปรับปรุงนโยบายการทำ ขายชอร์ต (Short Sales), การกำหนดขั้นราคาเสนอซื้อขาย (Tick Size) และค่าธรรมเนียม ให้เทียบเท่าตลาดระดับโลกอย่าง NYSE, NASDAQ หรือ SGX
• เปลี่ยนสถานะองค์กรสู่บริษัทจำกัด (Demutualization): เปลี่ยน ต.ล.ท. จากนิติบุคคลพิเศษตาม พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ให้เป็นรูปแบบบริษัทจำกัด เพื่อลดการผูกขาด เพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร และปูทางสู่การเปิดเสรีธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต ซึ่งจะเพิ่มการแข่งขันให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. นโยบายข้างต้นจำเป็นต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์